Saturday, April 16, 2011

Saint Lucia - ตอนที่ 4

วันรองสุดท้ายก่อนกลับบ้าน ซึ่งเป็นศุกร์ เราลงชื่อไปเดินขึ้นเขาชมวิวใกล้ ๆ รีสอร์ทซึ่ง ใช้เวลาเดินประมาณครึ่งชั่วโมง ไปกลับก็ครึ่งชั่วโมง อากาศร้อน เหงื่อตกซิก ได้ภาพสวย ๆ มาสองสามภาพ อันนี้ก็ภาพตัวเมือง Vieux Fort ที่ติดกับท่าเรือชื่อเดียวกัน



อันนี้เป็นอีกมุมหนึ่งของภาพเกาะ Maria Islands ที่เห็นเมื่อวาน ซ้ายมือเป็นบริเวณของรีสอร์ท ขวามือเป็นส่วนหนึ่งของสนามบิน แต่ถึงริสอร์ทอยู่ใกล้สนามบิน ก็ไม่ได้ยินเสียงเครื่องบินเลยนะ



ตอนบ่ายของวันนั้นเราไปลงเรือชมพระอาทิตย์ตกดิน เรียกว่า Sunset Cruise รถมารับที่ริสอร์บ่ายสาม ลงเรือสี่โมงเย็น ไปถืงท่าเรือมีแม่ไก่พร้อมลูกเจี๊ยบเล็ก ๆ หลายตัว มาต้อนรับ



บังเอิญว่าที่ท่าเรือวันนั้นเรือ Star clippers หนึ่งในเรือใบสำราญขนาดใหญ่ที่ให้บริการแถบทะเล Caribbean และ Mediterranean กำลังเตรียมตัวออกสู่ทะเลกว้างวันนี้ เลยได้ภาพเรือย้อนแสงมาให้ดู



เรือเราแล่นอยู่แถบฝั่งตะวันตกของเกาะ ใกล้ ๆ กับยอดเขา Pitons ซึ่งเกิดจากการไหลของหินลาวาที่ไม่ระเบิดออกจากผิวโลก แค่พอกพูนออกเป็นภูเขาเล็ก ๆ สองลูก เป็นจุดเด่นของเกาะไป



ภาพเรือสำราญใกล้ยอดเขาพิทอง



พนักงานบนเรือเสริฟของว่างและเครื่องดื่มเป็นระยะ ๆ เราก็ดูวิวไป แถวนี้มีรีสอร์ท 4 – 5 ดาวอยู่หลายแห่ง หาดสวย ทรายขาว



อันนี้เป็นรูปเรือใบ Star clippers ตอนกลางใบแล่นลมเต็มที่



ภาพคู่ฮันนิมูนสวีทบนเรือท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่กำลังจะลับลา ตอนนี้แหละที่พนักงานเขาเปิดแชมเปญให้ฉลองกัน



ภาพพระอาทิตย์ตกดิน ใกล้ ๆ เรือใบ Star clippers คนบนเรือจิบแชมเปญ คู่รักมองตากัน สวีท..



ยอดเขาพิทองหลังอาทิตย์ตกดิน



กลับมาที่ท่าเรืออีกทีก็มืดแล้ว



บ่ายวันรุ่งขึ้นเราก็เดินทางกลับโตรอนโต ได้ความทรงจำดี ๆ ภาพสวย ๆ กลับบ้านมาเป็นที่ระลึก จนกว่าจะได้เดินทางต่อไปจ้า..

Thursday, April 14, 2011

Saint Lucia - ตอนที่ 3

ออกจากสวนพฤษศาสตร์ คนขับพาเราไป Sulfur Springs เพื่อดูภูเขาไฟที่สามารถขับรถเข้าไปดูได้แห่งเดียวในโลก (The world's only drive-in volcano)


พอขับมาถึงใกล้ ๆ ก็ได้กลิ่นกำมะถัน แสบจมูกไปเลย รู้เลยล่ะว่าอยู่ในเขตภูเขาไฟ
เขาว่าแต่ก่อนภูเขาไฟลูกนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 13 กิโลเมตร แต่ว่ามันยุบตัวลงประมาณสี่หมื่นปีที่แล้ว ตอนนี้เราจึงเห็นมันเป็นเพียงแค่ภูเขาเนินเล็ก ๆ มีควันพุ่งออกมาจากพื้นดิน อย่างนี้


หรือเป็นหลุมโคลนที่กำลังเดือดปุด ๆ จริง ๆ แล้วเขาอนุญาตให้ลงไปอาบโคลนได้ เขาว่าเป็นการดีแก่ผิวหนัง แต่วันนี้โคลนร้อนมาก ขืนลงไปอาบคงได้ผิวใหม่ทั้งตัว


ใกล้ ๆ กัน มีธารน้ำที่มีแหล่งกำเนิดมาจากน้ำพุเล็ก ๆ ที่สามารถใช้ล้างตัวหลังอาบโคลน ในน้ำมีแร่ธาตที่เป็นประโยชน์แก่ผิวพรรณ แต่เราก็ไม่ได้ลงไปอาบน้ำ ดูสีหินสิ ออกเป็นสีน้ำตาลเลย


ออกมาที่เพิงร้านขายของที่ระลึก เจ้านกสองตัวนี้ก็แวะมาชมวิวกะเขาด้วยเหมือนกัน สวีทเชียวนะ เหมือนคู่ฮันนิมูนยังไงยังงั้น


เราได้เพิ่มโปรแกรมดำน้ำตื้นเข้าไปด้วย ออกจากภูเขาไฟ ซึ่งเป็นจุดสุดท้าย คนขับจึงพาเราไปดำน้ำที่ชายหาดระหว่างยอดเขา Piton ซึ่งเป็นเขตของโรงแรม Jalousie Plantation หนึ่งในโรงแรมหรูของเกาะ ได้เห็นปลาหลากสีพอสมควร


มีหอยเม่นเป็นระยะ ๆ


ที่แน่ ๆ พระเอกของงานคือปลาตัวนี้ เรียกว่า Caribbean pipefish มันโชว์ตัวแน่นิ่ง หัวดิ่งน้ำ ให้เราถ่ายรูปสบาย ๆ


มีปลิงทะเลตัวลาย ขนาดใหญ่


หลังดำน้ำแวะบาร์ริมหาดของโรงแรม สั่งเครื่องดื่มคนละแก้ว ราคาหนักพอสมควรเลย เลย แต่ที่นั่งบริเวณหาดของเขาน่านั่งมาก ๆ สงสัยจะขายวิว


จริง ๆ ทัวร์จะจบที่เวลาประมาณ 4 โมงเย็น แต่เราออกจากที่ดำน้ำก็เป็นเวลา 5 โมงเย็นแล้ว คนขับยังพาเราไปดูจุดชมวิวที่หอประภาคารเมือง Vieux Fort ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากรีสอร์ทของเรานัก แต่ต้องขึ้นเขาไปใช้เวลาประมาณ 15 นาที เห็นวิวเมือง Vieux Fort มุมสูงแบบนี้


รูปนี้เป็นรูปเกาะ Maria Islands จากมุมสูง เกาะนี้เห็นได้ชัดเจนจากรีสอร์ทที่เราพัก หรือจากระเบียงห้องของเรา


รูปนี้เป็นรูปคนขับกับน้ำเต้าต้น (Calabash ) ต้นไม้ประจำชาติของเซ้นท์ลูเชีย เห็นมีขึ้นอยู่ทั่วไป เขาเอาเปลือกขอแข็งของน้ำเต้ามาทำเป็นภาชนะต่าง ๆ


กลับมาถึงโรงแรมหกโมงกว่า ๆ ทิปคนขับไปเล็กน้อย

Monday, April 11, 2011

Saint Lucia - ตอนที่ 2

วันนี้เราจะไปเที่ยวรอบเกาะกัน โดยซื้อทัวร์ที่เรียกว่า Private Island tour นั่นคือ จะมีรถยนต์พร้อมคนขับ พาเราไปเที่ยวรอบเกาะ รถมารับเวลา 8 โมงเช้า กำหนดกลับรีสอร์ท 4 โมงเย็น เขาจะมีโปรแกรมไว้ว่าจะแวะที่ไหนมั่ง คนขับจะบรรยายให้ฟังว่าที่ไหนเป็นอย่างไร แต่เพราะเป็นโปรแกรมส่วนตัว เราชอบที่ไหนจะอยู่นานก็ได้ หรือจะเพิ่มเติมโปรแกรมได้ตามชอบใจ ค่าทัวร์คนละ 120 เหรียญอเมริกัน สองคนกับสามีก็ 240 เหรียญ เกาะเซ้นท์ลูเชีย เป็นเกาะเล็ก ๆ มีพื้นที่แค่ 620 ตารางกิโลเมตร จากรีสอร์ทซึ่งอยู่ตอนใต้ของเกาะเราขับเลียบชายฝั่งตะวันออกขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ แล้ววนกลับมา ตามรายทาง เราแวะชมหมู่บ้านชาวประมง ( Fishing Village) บ้านเรือนส่วนใหญ่อยู่ตามไหล่เขา มีสีสันสวยงาม ต่ำลงมาก็ติดทะเล



เห็นชาวประมงกำลังขนปลาขึ้นฝั่ง ในเรือลำเล็ก ๆ สีสันฉูดฉาด เลยได้ไปแอบดูเล็กน้อย



ปลาที่เขาจับได้วันนี้เป็น Swordfish หรือปลาฉนาก ตัวไม่ใหญ่นัก ขนกันหลายกะบะเลยทีเดียว



ก่อนเข้าเมือง Castries คนขับหยุดให้เราถ่ายรูปผารูปรองเท้าผู้หญิง ที่เป็นสถานที่ถ่ายทำหนังเรื่อง Pirates of the Caribbean



เราแวะเดินเที่ยวที่ตัวเมือง Castries ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเกาะ เดินเที่ยวชมตลาดขายของที่ระลึก ที่มีของขายมากมาย แต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไรติดมือมา



แวะเที่ยวตลาดขายของกิน กับข้าวดูเหมือน ๆ กันทุกเจ้าเลย สังเกตว่าอาหารจานผักของเขาคือ เผือกกับ Plantain ซึ่งคล้าย ๆ กล้วยตานีบ้านเรา



ไปเดินตลาดสดเห็นเขาขายชมพู่ด้วย แต่ไม่ได้ซื้อ ไม่รู้สึกอยากกิน ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ที่ท่าน้ำเมือง Castries มีเรือสำราญมาแวะตลอด วันนี้เป็นวันพุธ จะเป็นวันที่มีเรือสำราญมาจอดน้อยที่สุด เราถึงเลือกเที่ยววันนี้ เพื่อหลบคนเยอะ ๆ ไง



ตกเที่ยง เราแวะที่ Marrigot Bay เพื่อทานอาหารกลางวัน กินข้าวแกล้่ม วิวสวย ที่นี่เป็นสถานที่ถ่ายทำหนังเรื่อง Doctor Dolittle สมัยปี 1967



อาหารรวมอยู่ในทัวร์แล้ว เขาให้ปลาย่าง กินกับมันฝรั่ง และสลัด พร้อมน้ำส้มแก้วหนึ่ง ง่าย ๆ แต่อร่อยนะ



ข้างร้านอาหารมีต้นมะม่วงกำลังออกลูกอร่าม เห็นแล้วอยากกินมะม่วงจิ้มน้ำพริกน้ำอ้อยแบบเชียงใหม่ น้ำลายไหลเลย



ขับรถผ่านสวนกล้วยเป็นระยะ ๆ กล้วยเป็นสินค้าเกษตรส่งออกที่สำคัญของเกาะ โดยตลาดหลักเป็นประเทศอังกฤษ



ผ่านหมู่บ้านชาวประมงอีกสองสามแห่ง แล้วก็วนมาถึงยอดเขาเลื่องชื่อของเกาะที่เรียกว่า ยอดเขาพิทอง (Piton Peaks หรือ the Pitons) ยอดเขานี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของเซ้นท์ลูเชีย และเนื่องจากมันมีสองยอด (Petit Piton and Gros Piton) สูงเสียดฟ้า เลยเรียกกันว่าเป็นหน้าอกของแคริบเบี้ยน



พักชมวิวกันพอหอมปากหอมคอ เราก็เดินทางต่อไปยังสวนพฤษศาสตร์ประจำเกาะ ซึ่งค่าเข้าชมรวมไปแล้วในแพ็กเก็จทัวร์ของเรา ที่นี่มีพืชเมืองร้อนพอสมควร ที่เห็นเยอะหน่อยก็กล้วยก้ามปู (Crab Claw) มีทั้งสีเหลือง สีส้ม และสีเหลืองกับแดงผสมกันแบบนี้



อันนี้เรียกว่ากล้วยก้ามล็อบสเตอร์ (Lobster Claw) สีแดงสวยเชียว ที่บ้านเราปรกติจะเป็นกล้วยก้ามกุ้ง กับกล้วยก้ามกั้ง (ก้ามกุ้งช่อตั้ง ก้ามกั้งช่อห้อย) เป็นพืชตระกูลเดียวกัน แต่ขนาดเล็กกว่า



อันนี้ของจริงสวยมาก เรียกว่าดอกกาหลา ชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า Torch Lily



รูปนี้เป็นโกโก้ ที่ใช้ทำช็อกโกแล็ต

เรามีไกด์พาชมสวนด้วย ไม่มีเงินเดือนเราต้องทิปเขา ถึงได้รู้ว่ามีรังนกฮัมมิ่งเบริ์ดที่มีลูกนกสองต้วอยู่ ได้เลยภาพเก็บไว้ น่ารักมาก ๆ ตัวกระจิ๊ดเดียว



อันนี้เป็นรูปกล้วยประดับ หัวปลีสีม่วงอ่อนต่างกับหัวปลีของกล้วยทั่วไปซึ่งจะมีสีคล้ำกว่า สังเกตว่าเจ้าตุ๊กแกตัวเขียว มาเกาะเป็นตัวประกอบให้ถ่ายด้วยนา



พอแล้วรูปดอกไม้เดี๋ยวจะเบื่อเสียก่อน สุดท้ายของสวน เราจะเดินไปถึงน้ำตกเพชร Daimond Falls ที่เรียกแบบนี้เพราะถิ่นนี้เป็นถิ่นภูเขาไฟ แร่ธาตุในดิน ในหิน ในภูเขามีมากมาย เมื่อลำธารไหลผ่านได้พาเอาแร่ธาตุเหล่านั้นมาด้วย ทำให้สีน้ำมีหลายเฉดเปลี่ยนไปตามประเภทของแธ่ธาตุที่ปนมา จึงเรียกว่าน้ำตกเพชร เพราะส่งประกายหลากสีเมื่อต้องแสงตะวัน

Sunday, April 10, 2011

Saint Lucia - ตอนที่ 1

Saint Lucia เป็นเกาะเล็ก ๆ ตั้งอยู่ในแถบทะเลแคริบเบี้ยน เคยเป็นอาณานิคมของทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส ภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงสลับที่ราบชายฝั่งทะเล ปีนี้เราหนีหนาวไปพักผ่อนที่นี่แหละ


เราซื้อทัวร์ของแอร์แคนาดา เป็นแบบ All inclusive นั่นคือรวมตั๋วเครื่องบิน ที่พักและอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสิ้นเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน เนื่องจากเกาะอยู่ไกล ตั้งอยู่ใต้สุดของหมู่เกาะแคริบเบี้ยนจึงใช้เวลาบินจากโตรอนโตประมาณ 5 ชั่วโมงครึ่ง

ที่พักของเราชื่อ Coconut bay beach resort เป็นรีสอร์ทขนาดใหญ่ ตัวตึกที่พักแบ่งเป็นสองปีก เป็นที่พักของคนที่มีลูกเด็กเล็กแดงปีกหนึ่ง และเฉพาะผู้ใหญ่ที่ต้องการความสงบอีกปีกหนึ่ง


เนื่องจากรีสอร์ทตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออก ตอนเช้าจะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากทะเลสวย ๆ ทุกวัน ที่นี่ตะวันขึ้นประมาณ 6 โมงสิบห้า ถ้าตื่นสายไปกว่านั้นก็อด ดูกัน


ทิศตะวันออกของเกาะเป็นมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งเป็นทะเลเปิด คลื่นลมจะแรงกว่าทางฝั่งตะวันตกซึ่งติดกับทะเลแคริบเบี้ยน ผู้คนจึงนิยม Kite surfing เป็นอย่างยิ่ง


ทุกวันจะเห็นคนขี่ม้าเล่นตามชายหาด ม้าสวย ๆ หลายตัวเลย น่าอิจฉาชีวิตคนที่นี่จัง


รีสอร์ทเต็มไปด้วยต้นมะเพร้าวลู่ลม มีแปลญวนผูกไว้เป็นระยะ ๆ ใครใคร่นอน รับลมก็นอน ใครใคร่เดินออกกำลังก็เดินไป


เพราะมีบริเวณกว้าง รีสอร์ทจึงมีสวนสวย มีดอกลั่นทมสีแดงสดบานสะพรั่งตัดกับฟ้าใสน่าดูชม


นอกจากนั้นยังมีนกชนิดต่าง ๆ มากมาย อย่างนกฮัมมิ่งเบิร์ดสีดำ หัวเขียวตัวเล็ก ๆ จับกิ่งไม้หลับแสงตะวันอันแรงกล้า


อีกทั้งนกเขาขันคู จับกิ่งลั่นทมหลายคู่อยู่


นกสีเหลืองดำตัวนี้เรียกว่า Bananaquit ตัวเล็ก ๆ แต่ไม่พลาดสายตาเรา


ทริปนี้ วัน ๆ เราไม่ทำอะไรมาก ตื่นเช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้น (ถ้าตื่นทัน) ลงไปกินข้าวเช้า แล้วไปนอนเล่นข้างสระน้ำ ว่ายน้ำมั่ง


หรือไม่ก็ไม่เดินเล่นตามหาด เล่นน้ำทะเลตามชอบใจ


จากนั้นก็ไปหาข้าวกลางวันกิน ระหว่างมื้อมีอาหารว่างและเครื่องดื่มทุกชนิดบริการตลอด ตกเย็นก็มีอาหารให้เมนูเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ


บางวันก็จัดพิเศษเรียกว่า Theme Night เท่าที่เห็นก็มี Western Night แต่งแบบคาวบอย


Caribbean Night จัดอาหารแบบชาวเกาะ แต่งกายแบบชาวเกาะ หรือ Pirate Night ก็แต่งเป็นโจรสลัด เป็นต้น


อาหารก็คิดว่าดีใช้ได้ ห้องอาหารหลักเป็นแบบบุฟเฟต์ มีให้เลือกทานหลากหลาย จัดแต่งสวยงาม


มี Meat station บริการแล่เนื้อ ที่เปลี่ยนประเภทไปเรื่อย ๆ


ของหวานและขนมนา ๆ ชนิด


มีร้านอาหารอิตาเลี่ยนและอาหารจีนที่ต้องจองล่วงหน้า อาหารอิตาเลี่ยนพอใช้ได้ แต่อาหารจีนไม่ค่อยดีเท่าไหร่


กลางคืนมีดนตรี เปลี่ยนวงเปลี่ยนสไตล์ให้ต่างกัน มีเปียโนบาร์ หรือดิสโก้ไนท์ด้วย รูปนี้เป็นที่นั่งที่บาร์นะ ไม่ใช่ที่นอน สำหรับคนที่ชอบนอนฟังเพลงสบาย ๆ ดื่มไปด้วย


เดี๋ยวจะมาเล่าต่อ ตอนไปเที่ยวรอบเกาะ