Tuesday, October 27, 2009

บันทึกจากอังกฤษ 5 - Painshill Park

วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม 2552

วันสุดท้ายของทริปนี้ เราจะไปเที่ยวสวนเพนส์ฮิลล์กัน ถ้าเราไม่มาพักอยู่กับครอบครัว เป็นแค่นักท่องเที่ยวธรรมดา เราคงไม่รู้จักสวนนี้



สวนเพนส์ฮิลล์สร้างขึ้นช่วงปี 1738 – 1773 โดย Hon Charles Hamilton บุตรขุนนางผู้ใหญ่ของอังกฤษ เขาเป็นคนมีพรสวรรค์หลายด้าน ทำให้สวนนี้กลายเป็นสวนของยุโรปที่สวยงามมีเอกลักษณ์



เพราะแฮมิลตันมีเพื่อนที่มีอันจะกินหลายคน ได้มีโอกาสไปเที่ยวยุโรป (Grand Tour's of Europe) ถึงสองครั้ง มีความรู้เรื่องศิลปะเป็นอย่างดี



ปี 1738 เขาเริ่มกว้านซื้อที่ดินแถบ Painshill จนมีที่รวม ๆ กันกว่า 250 เอเคอร์ สร้างคฤหาสน์ มีสวนแบบบรรยากาศโรแมนติกขึ้นมา มีทั้งสระน้ำขนาดใหญ่ ต้นไม้ ไม้ดอก ไม้ใบ มีทั้งสิ่งปลูกสร้างเพื่อเพิ่มความสวยงามให้แก่สวน ปี 1773 เงินหมด เขาต้องขายมันไป



ที่ถูกเปลี่ยนมือมาหลายครั้ง จนภายหลังคฤหาสน์ถูกแยกไปจากสวน ขณะนี้มีการบูรณะตกแต่งสวนขึ้นมาใหม่ให้ใกล้เคียงกับสวนดั้งเดิมที่สุด เพื่อให้เป็นมรดกโลกต่อไป



เราใช้เวลาเดินเที่ยวเกือบสามชั่วโมงในสวน เด็ก ๆ วิ่งเล่นกันสนุกสนาน ชมไม้ดอกไม้ใบสวย ๆ



กลางสวนมีสระขนาดใหญ่ มีนกและเป็ดน้ำเยอะแยะ




เป็ดอิยิปต์สีสวย (Egyptian Duck)



สิ่งปลูกสร้างที่เด่น ๆ ในสวย ก็เช่น Gothic Temple



Turkish Tent เอาไว้นั่งชมวิวสระกลางสวนสวย



Gothic Tower หอคอยไม่สูงมาก นับขั้นบันไดได้แค่ 199 ขั้น



Grotto เชื่อมเกาะสองเกาะในสวนเข้าด้วยกัน ลักษณะเป็นถ้ำหิน เพดานประดับด้วยแก้วคริสตัลส่งแสงระยับ แก้วถูกติดบนเพดานด้วยช่างฝีมือทีละชิ้น ๆ ขณะนี้ยังทำไม่เสร็จ ถ้าเสร็จจะสวยกว่านี้มาก



Ruined Abbey ซากวิหารใกล้หนองน้ำที่ดูขลังดี



ใกล้วิหาร มีสวนองุ่นเล็ก ๆ ที่เก็บไว้ทำไวน์ประจำทุกปี ไวน์นี้มีขายที่ร้านในสวนด้วย

Sunday, October 25, 2009

บันทึกจากอังกฤษ 4 - Hampton Court Palace

วันพุธที่ 14 ตุลาคม 2552

วันนี้เราจะไปเยี่ยมชมพระราชวังแฮมป์ตันคอร์ท (Hampton court palace) อยู่ไม่ไกลจากบ้านที่เราพักอยู่นัก ขับรถประมาณ 40 นาทีก็ถึง จริง ๆ แล้วน่าจะใช้เวลาน้อยกว่านี้ แต่เพราะถนนที่นี่แคบมาก ส่วนใหญ่มีแต่สองเลนเท่านั้น ทำให้ใช้เวลาขับนานมาก



พระราชวังแฮมป์ตันคอร์ทสร้างขึ้นโดย Thomas Wolsey ตั้งแต่ปี 1514 และมีการต่อเติมพระราชวังมาเรื่อย ๆ แต่นั้นมา



พอถึงปี 1529 เพราะเขาไม่สามารถโน้มน้าวพระสันตปปาเพื่อทำให้การแต่งงานของพระเจ้าเฮนรี่กับพระนางแคทารีนแห่งอารากอนกลายเป็นโมฆะได้ พระเจ้าเฮ็นรี่จึงปลดเขาออกจากตำแหน่งและแย่งชิงวังนี้มาเป็นของตัวเอง นับแต่นั้นเรื่องราวประวัติศาสตร์ ความรัก ความใคร่ต่าง ๆ ได้เกิดขึ้นมากมายที่พระราชวังนี้ อันนี้ต้องไปหนังหรือหนังสือเรื่อง The other Boleyn Girl มาอ่าน จะได้ความรู้ส่วนหนึ่งด้วย



พระราชวังแฮมป์ตันคอร์ทประกอบด้วยพระราชวังหลักสองแบบ ที่สร้างต่างยุคกันคือพระราชวังอิฐสีแดงสมัยทิวดอร์ (Rose red brick Tudor Palace)



และพระราชวังสมัยบาโร๊ก (Baroque Palace) ที่มีสวนสวยอยู่รอบ ๆ



ส่วนของพระราชวังทิวดอร์มีจุดเด่นอยู่ที่ปล่องไฟประดับ ที่นับแล้วได้ทั้งสิ้น 241 ปล่อง ลวดลายสวยงาม มองแล้วไม่เบื่อ



เราเดินชมพระราชฐานของพระเจ้าเฮนรี่ที่แปด (Henry VIII) ที่สวยงาม ท้องพระโรงประดับด้วยกระจกสีสวย เพดานสูงมีลวดลายสง่างาม



อีกทั้งฝาผนังตกแต่งด้วยผ้าทอลายซับซ้อนสวยงาม



ที่นี่มีละครสดให้ดูทุกวัน จัดเป็นฉากแต่งงานของพระเจ้าเฮ็นรี่ที่แปดกับแคเทอรีน พารร์ (Kateryn Parr) พระมเหสีคนที่หกและคนสุดท้าย



เราสามารถเดินดูครัวขนาดใหญ่ที่ทำอาหารให้แก่คนทั้งวัง ห้องหับที่ประทับต่าง ๆ ที่ประดับตกแต่งอย่างสวยงามเลิศหรู หรือเรียบง่ายหลายสไตล์



บางห้องมีภาพเขียนสวยงาม



บางห้องมีเครื่องลายครามสวย ๆ อย่าง แจกัน Delftware tulipiere ที่สวยงามและมีขนาดใหญ่ใบนี้



ในส่วนของพระราชวังแบบบาโร๊ก สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้า James II มีหน้าต่างกลมสวยงาม



ล้อมรอบด้วยสวนสวยที่สร้างไม่เสร็จเพราะมีปัญหาเรื่องงบประมาณ



เรานั่งรถม้าชมสวนด้วย วันนั้นนักท่องเที่ยวไม่เยอะ เลยได้นั่งรถม้าเป็นการส่วนตัว เพราะไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นปนมาด้วย มีไกด์บรรยายประวัติของสวนและพระราชวังให้ฟังอย่างคร่าว ๆ ตลอดระยะเวลา 12 นาที



ที่สวนยังมีเรือนกระจกสำหรับเถาองุ่นอายุ 240 ปี มีลำต้นขนาดเท่าต้นไม้ ซึ่งยังคงออกผลดกต้องใช้เวลาประมาณสามอาทิตย์ในการเก็บเกี่ยวอีกด้วย



จบการเดินเที่ยววัง เราเดินมาทางสถานีรถไฟที่ต้องข้ามแม่น้ำเทมส์ ข้างหน้าของสถานีรถไฟเป็นถนนที่เต็มไปด้วยร้านอาหารและผับ มีแม้กระทั่งร้านอาหารไทย แต่ทริปนี้เราขอเว้นไปก่อน ตกลงเลือกร้านอาหารอิตาลี่ตั้งอยู่สุดแถว ร้านหรู อาหารอร่อย บริการดีมาก ๆ วันนั้นเราปิดท้ายอาหารกลางวันตอนบ่ายด้วยคาร์ปูชิโนถ้วยอร่อย เป็นการสิ้นสุดอาหารอิตาลี่ที่สมบูรณ์แบบ

Wednesday, October 21, 2009

บันทึกจากอังกฤษ 3 - London III

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2552

หลังอาหารเช้าวันนี้ตั้งใจจะไปดู ขบวนทหารม้า (Horse guards parade) เขามีพิธีนี้ทุกวัน เพื่อเปลี่ยนเวรรักษาการณ์ที่ Whitehall ซึ่งใช้เวลาเดินไปไม่ไกลจากโรงแรม แต่ไม่รู้ว่าเขาปิดถนนเพราะมีการวิ่งมาราธอน เลยไปไม่ทัน พอดีมีรูปมาจากเมื่อวานนิดหน่อย ตอนรอเขาเดินสวนสนามเปลี่ยนยามรักษาพระองค์ที่พระราชวังบักกิ้งแฮม



และได้ถ่ายรูปทหารม้าที่กำลังรักษาการณ์อยู่มาแทน ทหารม้านี้แต่งตัวเต็มยศเท่กว่าทหารรักษาพระองค์ที่พระราชวังบักกิ้งแฮมอีก



วันนี้อากาศขมุกขมัวเช่นเคย แต่เราจะไปลงเรือล่องแม่น้ำเธมส์ กับ City Cruises ที่ท่า Westminster ใกล้หอนาฬิกา ไปสุดที่ท่าเรือ Greenwich ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง



เรือออก เวลาประมาณ สิบโมงครึ่งไป ล่องผ่านตึกรามบ้านช่องต่าง ๆ



เจ้าหน้าที่บนเรือบรรยายได้ตลกสุขสันต์ดี มีหัวเราะไปตลอดทาง แต่นักท่องเที่ยวที่ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษก็มีเยอะ นั่งเฉย ไม่ขำ



เรือผ่านสะพาน Millenium Bridge มองเห็นหลังคาโดมของวิหาร St. Paul’s Cathedral อยู่ไกล ๆ นึกว่าสะพานนี้ทอดไปสู่วิหารโดยตรง



ผ่าน Tower Bridge ที่เรามาเมื่อวาน ข้าง ๆ เป็นที่ทำงานของเทศบาลเมือง ผู้บรรยายบอกว่าใช้เงินก่อสร้างไป 14 ล้านปอนด์ ออกมาเหมือนหมวกกันน๊อกบุบ ๆ



ไปสิ้นสุดที่เมือง Greenwich ที่เป็นเขตกำหนดเวลามาตรฐาน



เราแวะเดินไปดูตลาดที่นี่พักหนึ่งหาของว่างกินฆ่าเวลา ได้เจอคนไทยที่มาเปิดร้านขายอาหารจานด่วนที่นี่ด้วย



จากนั้นต้องรีบกลับเพราะจองเวลาเพื่อดี่ม Afternoon Tea กับทางโรงแรมไว้ตอนบ่าย 2

จากท่าเรือ Westminster มายังโรงแรมต้องใช้ทางเดินเรียกว่า Jubilee walkway ข้างสวนสาธารณะ St. James's Park มีต้นไม้ใหญ่ลำต้นเป็นตะปุ่มตะป่ำสวย ๆ และให้ความร่มรื่นตลอดทาง



ประวัติของการดื่มน้ำชายามบ่ายนั้นเนื่องมาจากสมัยก่อนคนที่อังกฤษเขากินแค่สองมื้อคือเช้ากับเย็น ระยะเวลาระหว่างมื้อมันก็ยาวนานเอาการอยู่ Anna, the 7th Duchess of Bedford จึงมีความคิดที่จะดื่มน้ำชาและของว่างยามบ่ายขึ้น เชิญเพื่อน ๆ มาดื่มด้วย เกิดความนิยมกลายเป็นธรรมเนียมของคนมีสตังค์ชาวอังกฤษไปเลย



ห้องอาหารที่เสริฟชายามบ่ายจัดอย่างสวยงามแต่นั่งสบาย ๆ มีคนเล่นเปียโนสด ๆ ให้ฟังตลอด ชุดชายามบ่ายประกอบด้วย แซนด์วิชหลากไส้ สโกน และอาหารหวานสีสรรสวยงาม สโกนนั้นกินกับ Clotted cream และแยม



ได้นั่งพักผ่อนจิบชาชมวิวของโรงม้าพระราชวังอยู่ชั่วโมงหนึ่ง สบายดีแท้

จากนั้นก็ไปชมโรงม้าของพระราชวังบักกิ่งแฮม เรียกว่า Royal Mews ก็ข้ามถนนจากโรงแรมไปก็ถึงแล้วแต่ทิ้งไว้ตั้งนานกว่าจะไปเยี่ยมชม อย่างที่เขาว่าใกล้เกลือกินด่างไง




ข้างในมีม้าสวย ๆ ที่ได้รับการดูแลอย่างดี ก็พวกเขาเป็นม้าของพระราชินีนะสิ

รถม้าประจำราชวงศ์ซึ่งยังมีการใช้งานอยู่หลายคัน



ที่สวยและสง่าที่สุดคือ Gold state coach รถม้าชิ้นโบแดง



ที่ล่าสุดสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธทรงใช้ในงานเฉลิมฉลองครบรอบการครองราชสมบัติ 50 ปี




(เขาว่านั่งไม่สบายเลย ไม่นุ่ม)



จากนั้นก็ไปดู The Queen’s Gallery แสดงภาพวาด ของประดับบ้าน ของสะสมที่สวย ๆ และถ้วยชาม ที่สืบทอดกันมาของราชวงศ์อังกฤษ แต่เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ

กลับห้องเหนื่อยเป็นตายเลย หวัดก็ยังไม่หาย

เย็นนั้นหลังจากจัดการกับของว่างที่ทางโรงแรมจัดมาให้แล้วเราก็ลงไปทานอาหารอินเดียใกล้ ๆ สถานีรถไฟวิกทอเรียไม่ไกลจากโรงแรมเลย อาหารอร่อยใช้ได้

Monday, October 19, 2009

บันทึกจากอังกฤษ 2 - London II

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตื่นมาวันนี้อาการดีขึ้นหน่อย แต่คงยังต้องทานยาแก้ปวดอยู่ ลงไปทานอาหารเช้าแบบอังกฤษที่ร้านอาหารของโรงแรมซึ่งรวมมาแล้วในแพ็กเก็จของเรา ต้องบอกว่าบริการของโรงแรมนี้ดีมาก ๆ พนักงานยิ้มแย้มแจ่มใส ให้ความเป็นมิตรและสุภาพสมมาตรฐานโรงแรม 4 ดาว

มีพนักงานของโรงแรมสองคนที่เราคุยด้วย เคยไปเมืองไทยและประทับใจมาก คนแก่หน่อยมีลูกชายที่ไปจัดงานแต่งงานที่เมืองไทยยังติดใจไม่หาย ลุงจะไหว้เราสวย ๆ ทุกครั้งที่เจอกันทำเอาพนักงานและแขกคนอื่น ๆ ยิ้มแก้มตุ่ยทุกครั้งที่เห็น



อาหารเช้าแบบอังกฤษนั้นมักประกอบไปด้วย ไข่ดาว ไส้กรอก ไส้กรอกเลือด ขนมปังปิ้ง มะเขือเทศทอด และเห็ด ที่โรงแรมนี้เสริฟอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์ มีคนประจำเคาเตอร์ทำไข่ ใครไม่ชอบอาหารหนัก จะทานแต่พวกขนมอบก็มีให้เลือกหลายชนิด หรือจะเป็นแบบผลไม้และโยเกริต์ก็มีไว้บริการ

เราสั่ง Smoked Kippers ที่เป็นปลา Herring ผ่าแบะกลางตัว ใส่เกลือแล้วเอาไปรมควัน ที่นี่เขาเอามาย่างกินเป็นอาหารเช้า อันนี้ต้องสั่งเพราะไม่มีในไลน์บุฟเฟต์แต่ไม่คิดราคาเพิ่ม เราเข้าใจว่าคงไม่ค่อยมีคนสั่ง เราว่ารสชาติอร่อย ไม่เค็มจนเกินไป

สิบโมงครึ่งเราเดินไปจองที่ดู Changing of the guard ที่ Buckingham Palace



ถึงแม้จะอยู่ใกล้ ๆ ใช้เวลาเดินแค่สองนาทีก็ต้องรีบไป เพราะคนเยอะมาก ๆ พิธีเริ่ม 11.30 นาฬิกา แต่มีคนมาเริ่มรอตั้งแต่ 10 โมงเช้า ระหว่างรอบางคนก็ให้อาหารนกพิราบไปพลาง ๆ



ที่ลานหน้าพระราชวังมีตำรวจม้าคอยควบคุมคนดูให้เป็นระเบียบ



ขบวนเริ่มด้วยคนเล่น Bag Pipe



ตามด้วยทหารรักษาพระองค์



เรามองไม่เห็นพิธีที่ทำในเขตรั้วของพระราชวัง เพราะคนเยอะบังวิว

ได้รูปของขบวนมาพอสมควรเลยไม่ได้รอให้เสร็จพิธี เดินไปเที่ยวที่อื่นดีกว่า


จับรถไฟใต้ดินที่สถานี Victoria ใกล้โรงแรม เพื่อไปลงที่สถานี Tower Hill ที่นี่เราจะไปดู The Tower of London ที่สร้างขึ้นโดย William the Conqueror ในปี 1066



ป้อมนี้ถูกต่อเติมต่อมาโดยกษัตริย์และกษัตรีย์หลาย ๆ รัชกาล มีขนาดใหญ่เร้นลับซับซ้อน ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงทึบ



ป้อมนี้ถูกใช้เป็นทั้งคุก สถานที่ทรมาน และสถานที่ประหารมาหลายชั่วคน เรื่องเศร้าเคล้าน้ำตาที่ไม่อาจลืมได้ แต่บัดนี้เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศ



จาก The Tower of London ก็เดินไป Tower Bridge สะพานข้ามแม่น้ำเธมส์ที่สร้างขึ้นในปี 1894



โดยถูกออกแบบให้ดูสวยงามยิ่งใหญ่คู่กับหอลอนดอนข้าง ๆ กัน



นักท่องที่สนใจสามารถเดินขึ้นไปชมสะพานทางเดินด้านบนที่เชื่อมหอทั้งสองของสะพานนี้ได้ จะได้เห็นวิวมุมสูงของ แม่น้ำเธมส์และ The Tower of London



ในแม่น้ำด้านตรงข้ามของ The Tower of London เป็นที่จอดของ H.M.S Belfast เรือรบสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งตอนนี้ปลดระวาง กลายเป็นเรือพิพิธภัณฑ์เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้



ลงรถไฟใต้ดินอีกครั้ง นั่งย้อนไปลงที่สถานนี Mansion House เพื่อไปแวะชม St. Paul’s Cathedral ที่ ๆ เจ้าหญิงไดอาน่าทำพิธีสมรสกับฟ้าชายชาร์ลส์



โบสถ์ดูสวยงามยิ่งใหญ่ มีหลังคาโดมสูง ด้านนอกเป็นปูนปั้นสวยงาม



นั่งท่องเที่ยวสามารถเข้าชมภายในได้โดยเสียค่าผ่านประตู แต่เขาห้ามถ่ายรูปเพราะอาจรบกวนผู้ที่ตั้งใจมาสวดมนต์จริง ๆ



ตึกรอบ ๆ St. Paul’s Cathedral เป็นร้านค้าอาคารแต่ถูกออกแบบให้ดูสวยงามไม่แพ้โบสถ์



เดินจนเมื่อย ก็จับรถไฟกลับมาที่สถานี Victoria ที่นี่ เราแวะซื้อ Cornish Pasty ไส้สเต๊ก จากร้านเบเกอรี่ชื่อดังของอังกฤษ มาที่นี่ทั้งทีไม่กินไม่ได้เสียชื่อหมด แป้งข้างนอกทั้งกรอบทั้งนุ่ม ไส้หนาและอร่อย



คุณสามีสุดที่รักอยากดื่มเบียร์เย็น ๆ เลยถือกลับมานั่งกินที่บาร์ของโรงแรม จะได้พักขาให้หายเมื่อยด้วย เบียร์แก้วหนึ่งที่นี่ประมาณ 4 ปอนด์ ในขณะที่เราสั่ง คาร์ปูชิโนแก้วหนึ่งโดนไปเกือบ 5 ปอนด์ ราคากาแฟที่โรงแรมโครตโหด

หลังอาหารว่างอันแสนอร่อยกลั้วเบียร์เย็น ๆ เราออกไปถ่ายรูป Westminster Cathedral ที่เราค้างไว้เมื่อวานเพราะแสงไม่สวย



Westminster Cathedral เป็นโบสถ์แบบ Byzantine style ของ eastern Roman Empire แตกต่างไปจากโบสถ์ที่ทั่วไปของลอนดอนที่มักเป็นแบบ Gothic เลยดูเด่นเป็นเอกลักษณ์



หลังจากนั้นว่าจะแวะไปดูโรงม้าและโรงเก็บรถ (The Royal Mews) ที่ตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับโรงแรม แต่ปรากฏว่ามันปิดไปซะแล้ววันนี้ เลยกลับมานั่งพักผ่อนที่ห้องแทน อาการหวัดกำเริบอย่างสุด ๆ น่าเบื่อชะมัด ประมาณ 6 โมงเย็นทางโรงแรมจัด ของว่าง (Canapés) มาให้ เลยจัดการชงชาดื่มคู่กันซะให้อุ่น



ทุ่มครึ่งต้องออกไปหาอะไรกิน ตัดสินใจไปร้านอาหารแบบ Bar and Grill ใกล้โรงแรม เป็นร้านอาหารสมัยใหม่ จัดโต๊ะเรียบง่าย น่านั่ง อาจเป็นเพราะยังไม่สบาย บวกกับทานอาหารว่างมาแล้วนิดหน่อย เลยไม่ค่อยหิว เราเลยสั่งแค่ปลา Sardine ย่าง ในขณะที่สามีสั่งทั้งอาหารเรียกน้ำย่อยและเมนคอร์ส ตามด้วยเบียร์อีกสองแก้ว ดูท่าทางท่านเอ็นจอยดี