Wednesday, April 15, 2009

เกาะ Antigua - ตอนที่ 5

อาหารและอื่น ๆ

พูดถึงเรื่องเที่ยวก็ต้องพูดเรื่องกิน ไม่งั้นมันไม่ครบรส

นักท่องเที่ยวบนเกาะส่วนใหญ่รับประทานอาหารในโรงแรมที่พัก เชฟใหญ่ประจำแต่ละโรงแรมมักเป็นเชฟผิวขาวนำเข้ามาจากต่างประเทศ อาหารที่โรงแรมจึงเป็นอาหารแบบโรงแรม สามดาว ขึ้นไป มีการจัดแต่งอย่างสวยงาม รสชาติของอาหารก็เป็นไปตามเชฟแต่ละคน แต่ก็ไ่ม่ใช่อาหารท้องถิ่นเลย



ถ้าใครอยากทานอาหารท้องถิ่นก็ต้องออกไปทานข้า่งนอกโรงแรม อาหารท้องถิ่นที่เกาะนี้ก็คล้าย ๆ เกาะอื่น ๆ ในแถบทะเลแคริบเบี้ยน คือ มี บาร์บีคิวแบบเวสต์อินดี้ โดยใช้ไก่ หรือซี่โครง ทำออกมาเนื้อนุ่มชุ่มซ้อส



มีแกงแพะ เนื้อ หรือไก่ เป็นแกงกะหรี่สไตล์แคริบเบี้ยนอีกเหมือนกัน รสชาติจัดจ้าน เสริฟกับข้าวหุงผสมถั่ว และสลัดเล็ก ๆ



แต่อาหารที่คนท้องถิ่นแนะนำว่าต้องลองคือ ฟุนจี้ (Fungee) ทำจากข้าวโพดป่น (Cornmeal) ผสมกับลูกกระเจี๊ยบ เขากินฟุนจี้เทียบกับการกินข้าวบ้านเรา



นอกจากนั้นก็ยังต้องลองปลาเค็ม (Salt fish) เป็นของคู่กันกับฟุนจี้ เขาเอาปลาเค็มไปแช่น้ำหลาย ๆ น้ำ ให้หายเค็มก่อนเอาไปประกอบอาหารตามต้องการ ที่เราลองทานก็แค่เอาไปคลุกผงแป้งแล้วทอด โรยหอมซอย อร่อยดี



เบียร์ท้องถิ่นยี่ห้อ Wadadli ซึ่งเป็นชื่อเดิมของเกาะ ส่วนเครื่องดื่มที่ควรลองคือน้ำน้อยโหน่ง (Sour Sop) ซึ่งเขาผสมนมและน้ำตาลจนหวาน น้ำขิง (Ginger beer) หรือน้ำมะขามเปรี้ยวหวานกำลังดี



อาหารท้องถิ่นหลัก ๆ ก็มีแค่นั้น เราว่าค่อนข้างแร้นแค้นเพราะเกาะตั้งอยู่ไกลผู้ไกลคน มีการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์อยู่บนเกาะก็จริง แต่ไม่พอกิน ต้องอาศัยการนำเข้าอาหารเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะต้องรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวมากมาย



ที่เราตั้งข้อสงสัยอีกอย่างคือ เกาะนี้มีน้ำทะเลล้อมรอบ กุ้ง หอย ปู ปลา ก็อยู่ในน้ำ แต่เราไม่เห็นเรือประมงเลยซักลำ มีแต่ชาวบ้านตกปลาด้วยสายเบ็ดไม่มีคัน ตามโขดหินหรือหนองน้ำต่าง ๆ นิด ๆ หน่อย ๆ



ดังที่กล่าวไปแล้วว่าหาดทุกหาดบนเกาะถือเป็นที่สาธารณะ ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์ได้ ถ้ามีโรงแรมหรือรีสอร์ทตั้งอยู่ใกล้หาด เขาต้องสร้างทางเข้าแ่ก่สาธารณชนโดยไม่มีข้อแม้ ซึ่งเราถือว่าเป็นเรื่องดีมาก หาดข้างรีสอร์ทที่เราพักถือเป็นหาดที่เป็นที่นิยมของคนบนเกาะด้วย เพราะมีขนาดกว้างใหญ่ และมีต้นมะขามต้นใหญ่ให้ร่มเงาหลายต้น โดยปรกติจะเงียบสงบ แขกที่รีสอร์ทพักผ่อนอย่างเงียบ ๆ ทั้งวัน



วันศุกร์วันนั้นเป็นวันหยุดทางศาสนาคริสต์ (Good Friday) คนบนเกาะก็ไม่ต้องไปทำงาน ก่อนเที่ยงเขาเริ่มมาปิกนิก มีการตั้งเต้นท์นอนหลายเต้นท์ ขนอาหาร เครื่องดื่มมาเพียบ (ทำให้นึกถึงตอนคนไทยไปเที่ยวหาดเป็นกลุ่ม ๆ อย่างช่วยไม่ได้) ยึดร่มเงาใต้ต้นมะขาม



เด็ก ๆ ตัวเล็ก ๆ ใส่ชุดบิกินี่สีสด วิ่งเล่นตามหาด คนเริ่มมามากขึ้นเรื่อย ๆ พอถึงเวลาอาหารกลางวัน แขกที่รีสอร์ทไม่มีเหลือบนหาดซักคน เหลือแต่เจ้าถิ่นเล่นน้ำทะเลเสียงอึกกะทึกครึิกโครมไปหมด ก็พอสรุปได้ว่าชาวเกาะแอนที้ก้าเขาชอบสนุกสนานเฮฮากัน



จำนวนคืนที่อยู่บนเกาะ 7
จำนวนมื้ออาหารที่ทานบนเกาะ 21
จำนวนรูปที่ถ่าย หลายร้อย
ระดับความสุขที่ได้รับ ไม่สามารถวัดได้
ระยะเวลาที่จะอยู่ในความทรงจำ นานแสนนาน



จนกว่าจะพบกันใหม่ค่ะ

Tuesday, April 14, 2009

เกาะ Antigua – ตอนที่ 4

ธรรมชาติบนเกาะ

เขาว่า เกาะAntigua เป็นดินแดนแห่งสับปะรดและอ้อย แต่ถ้าให้เราตั้งคำขวัญเราว่ามันเป็นเกาะแห่งนกกระทุง ใช่แล้วเพราะไม่ว่าเราจะอยู่จุดไหนของรีสอร์ท จะเห็นนกกระทุงอยู่ทั่วไป เรียกว่าถ้าหันหน้าไปทางทะเลก็จะเห็นมันโฉบเฉี่ยวหาปลา ถ้าหันหน้าไปทางหนองน้ำก็เห็นมันยืนสลอน ถ้าหันหน้าไปที่หน้าผามันก็บินว่อนเต็มฟ้า





ตอนแล่นเรือรอบเกาะก็เห็นมันบินว่อนอยู่ทั่วไป มีเกาะอยู่เกาะหนึ่งถึงกับตั้งชื่อว่า Pelican Island เพราะมันเต็มไปด้วยนกกระทุงนี่เอง



แต่จะว่าเป็นแล้วเราก็มีความสุขที่ได้นั่งมอง นอนมอง นกกระทุงหาปลา เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่น่่าจดจำไปอีกนาน



นอกจากนั้นก็ยังมีนกฮัมมิ่งเบิร์ด (Hummingbird) ตัวสีเขียวเลื่อมแทรกดำ เป็นนกตัวเล็ก ที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป



เวลาดูดน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ ปีกของมันขยับด้วยความเร็วจนเกิดเสียงเป็นเสียงฮัม ฮึ่ม ๆ ถ้ามันบินจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งจะใช้เวลารวดเร็ว ปู๊ํดป๊ําดปานจรวด



นกชายเลน (Sandpiper) นกสีน้ำตาล ท้องขาว เคลื่อนไหวไวมาก



นกกระยาง (Egret) นกสีขาว ปากเหลือง ตัวเรียว ขายาว เห็นได้ทั่วไป ตามโรงแรมและบ้านเรือนต่าง ๆ ด้วย



นกเขาตัวนี้จับนิ่งบนกิ่งดอกลั่นทมสีสวย


ที่ระเบียงหลังบ้านพักของเรา นกขมิ้นสีเหลืองสด (Yellow Finch) คู่หนึ่งมาทำรังอยู่ใต้กล่องโคมไฟ มันจึงวนเวียนให้เห็นทั้งวัน



นกฟินช์อีกชนิดหนึ่ง ไม่รู้ว่าภาษาไทยเรียกว่าอะไร ตัวสีน้ำตาลเข้มออกดำ อกสีแดง คิดว่าเป็นตัวผู้



เพราะมันอยู่คู่กับนกลักษณะเดียวกันสีน้ำตาลอ่อน มีให้เห็นตัวไปในรีสอร์ท ทุกวันเราจะเปิดประตูหลังใช้เวลาที่ระเบียง มันจะแอบมาขโมยซองน้ำตาลในห้อง พอได้แล้วก็จะพยามยามจิกซองให้เปิดเพื่อกินน้ำตาลในซอง



บนเกาะมีดอกรักขึ้นอยู่เต็มไปหมด ที่นี่เรียกมันว่า Milkweed เพราะมียางสีขาวเหมือนน้ำนม ถือเป็นวัชพืชอย่างหนึ่ง น่าเสียดาย ถ้าเป็นที่เมืองไทยพวกเราจับมาร้อยมาัลัยไปเรียบร้อยแล้ว


ดอกชบาและดอกเฟื่องฟ้ามีให้เห็นตามรีสอร์ททุกแห่ง มันไม่ใช่พืชท้องถิ่น เฟื่องฟ้าถูกนำเข้ามาจากประเทศแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน ในขณะที่ดอกชบามาจากเอเชีย แต่มันเจริญเติบโตได้ดีที่นี่



นอกจากนั้นตามถนนหนทางและป่าเขาทั่วไปยังมองเป็นฝูงสัตว์อย่างแพะ แกะ ลา หรือม้า ที่ชาวบ้านปล่อยให้หากินเองตาม จนกว่าตะวันจะคล้อยถึงจะต้อนกลับบ้าน อ้อถ้าคุณเห็นฝูงแพะและแกะรวมกัน จะบอกความแตกต่างละก้อให้ดูที่หาง Goat tail up, sheep tail down หางแพะตั้ง หางแกะห้อยนั่นเอง



ปูก้ามดาบอาศัยอยู่ตามชายเลนเหมือนเมืองไทย ชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า Fiddler Crab ก้ามใหญ่เหมือนคนสีไวโอลิน



เช้าวันฝนตกเจ้านกน้อยเกาะเหงา ๆ บนกิ่งไม้ใกล้บ้านพัก ดูลักษณะแล้วน่าจะเป็นนกกินปลา (Kingfisher) ชนิดหนึ่ง



สุดท้ายแต่ไม่ใช่ท้ายสุด กิ้งก่าสีเขียวสด ก็ถือเป็นเจ้าถิ่นบนเกาะชนิดหนึ่งเหมือนกัน



ยังมีต่อ

เกาะ Antigua – ตอนที่ 3

แล่นเรือรอบเกาะ

คืนวันพุธฝนเริ่มตกตั้งแต่ก่อนเที่ยงคืน อากาศเย็นฉ่ำฝน ทำให้นอนหลับสบาย เพียงแต่ว่ามันไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกนะสิ ก็วันพฤหัสเราจะไปเที่ยวรอบเกาะพร้อมกับดำน้ำตื้นดูปะการังทางเรือ กับทัวร์ Wadadli Cats ซึ่งเป็นเรือ Catamaran ขนาดบรรจุประมาณ 80 คน



แพ็กเก็จนี้เป็นการแล่นเรือชมวิวรอบเกาะ ซึ่งมีชายฝั่งยาวประมาณ 60 ไมล์ แวะไปดำน้ำดูปะการังน้ำตี้นและรับประทานอาหารกลางวันที่เกาะกรีน (Green Island) รวมเครื่องดื่มทุกชนิด อุปกรณ์ดำน้ำ อย่างหน้ากากและตีนกบ



แต่ว่าสายฝนหรือจะมาหยุดยั้งความตั้งใจของคนอยากเที่ยวได้ เรือยังคงมารับเราที่หาดเวลา 8 โมงตรงเป๊ะ หาดเราเป็นจุดเริ่มต้นของการแล่นเรือนี้ ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดครึ้ม สายฝนโปรยปรายเป็นระยะ ๆ เราขึ้นเรือเป็นคนแรกพร้อมกับแขกอีกคู่หนึ่ง รวมเป็น 4 คน



จากนั้นเรือก็วนรอบเกาะไปทางทิศเหนือและจอดรับแขกจากรีสอร์ทอื่น ๆ ตามทางไปด้วย รวมแล้ว 4 แห่ง และมีผู้ร่วมเดินทางทั้งสิ้น 30 กว่าคน



ระหว่างนั้นก็ชมวิวเกาะแก่งต่าง ๆ รอบเกาะ บางเกาะเป็นที่อยู่อาศัยของนกกระทุง เห็นมันบินว่อนไปหมด ผ่านเกาะที่เรียกว่าเกาะปากเหยี่ยว (Hawksbill Island) ซึ่งเราว่ามันเหมือนเจ้าชายกบใส่มงกุฏมากกว่า หรือคุณว่าไง



ด้วยวิวอันสวยงาม บางแห่งน้ำทะเลเป็นสีเขียวออกน้ำเงินเข้ม แสดงให้เห็นว่าน้ำลึกมาก ๆ บางตอนเห็นคลื่นสีขาวลูกใหญ่กระทบผาหินดังซู่ซ่า บนเรือเปิดเพลงขับกล่อมเพราะ ๆ มีเครื่องดื่มที่ไม่มีเหล้าเสริฟก่อนดำน้ำ หลังดำน้ำจึงจะเสริฟเครื่องดื่มที่มีเหล้า



ฝนยังคงตกเป็นระยะ ๆ พอมันหยุดตก แขกบางคนก็ออกไปนั่งที่ระเบียบเรือชมวิวอันสวยงาม แต่หลายคนก็หลบฝนอยู่ใต้ประทุนไม่ออกมาเ เรือมาถึงเกาะกรีนประมาณ 11 โมง เืพื่อดำน้ำตื้น มีคนนำพวกเราไปดำน้ำหนึ่งคน แขกบางคนก็ไม่ได้ดำน้ำ แต่ว่ายน้ำที่หาด หรืออาบแดดบนเรือแทน



พื้นที่ใต้ทะเลแห่งนี้ถ้าเทียบกับแหล่งดำน้ำตื้นของไทยอย่างเกาะสุรินทร์แล้วเทียบกันไม่ได้เลย ของไทยสวยกว่าเยอะ ที่นี่เราเห็นปลาไม่กี่ชนิด เช่น กุ้งล็อบสเตอร์ ปลากระเบน ปลาหมึกหอม ปลาการ์ตูน และปะการังประปราย



หลังอาหารกลางวันซึ่งเป็นอาหารพื้นเมือง ประกอบด้วยข้าวผสมถั่ว เสริฟพร้อมปลาทอด หรือไก่ย่างชาวเกาะ สลัด และผักแนม อร่อยดี



หลังอาหารกลางวัน ทุกคนพักผ่อนตามอัธยาศัยประมาณ เกือบชั่วโมง จากนั้นเรือก็เดินทางต่อไป ก่อนถึง English Harbour ที่เรามาเที่ยวทางบกเมื่อวาน เห็นผาหินถูกน้ำทะเลเซาะเป็นรูปเสาสวยงาม



เรือแวะเข้าไปใน English Harbour ผ่านร้านอาหารที่ชาวเรือแวะมาทานเมื่อเขาเอาเรือมาจอดที่นี่ ดูคึักคักดีแท้



ที่นี่จะเห็นป้อมปราการสมัยก่อน ตั้งตระหง่านอยู่บนผา



เมื่อเรือผ่าน English Harbour มาได้ไม่นาน คนในเรือส่วนหนึ่งก็ร้องออกมาอย่างดีใจ เพราะเขาเห็นปลาวาฬไม่ไกลจากเรือนัก คนเรือเลยแล่นเรือตามดูปลาวาฬ ซึ่งมีสามตัวด้วยกัน สองตัวเป็นปลาวาฬขนาดใหญ่ อีกตัวเป็นลูกปลาวาฬตัวน้อย เป็นปลาวาฬที่เรียกว่า humpback whale ทุกคนในเรือต่างก็ตื่นเต้นที่ทัวร์ดำน้ำตื้นได้ของแถมเป็นทัวร์ดูปลาวาฬ คนเืรือประกาศติดตลกว่า ต้องขึ้นราคาอีกคนละ 20 เหรียญ เพราะปลาวาฬไม่ได้หาดูง่าย ๆ นัก



บางส่วนของเกาะเราจะเห็นบ้านเรือนอันสวยงามของผู้มีอันจะกินบนเกาะ เสียดายภาพไม่ค่อยสวยเพราะวันนี้ไม่มีแดดเลย



สิ้นสุดทัวร์วันนั้น เรากลับมาถึงรีสอร์ทก่อน 4 โมงเย็น

มีต่อตอนต่อไป

Monday, April 13, 2009

เกาะ Antigua - ตอนที่ 2

สถานที่น่าสนใจบนเกาะ

นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวรอบเกาะโดยการเช่ารถขับเที่ยวเอง ไปกับขบวนรถจี๊บ หรือจะเช่าแท๊กซี่ให้เขาขับพาเที่ยวก็ได้ เราเลือกรถแท๊กซี่ซึ่งเป็นรถตู้ติดแอร์เย็นฉ่ำ ให้เขาพาไปเที่ยวรอบเกาะ สนนราคาก็พอจ่ายได้ ไม่ถึง 200 เหรียญอเมริกัน สำหรับสองคน ซึ่งก็ดีไม่น้อยเพราะมีความเป็นส่วนตัว จะแวะที่ไหนนานเท่าไหร่ก็ได้






วันพุธรถมารับที่รีสอร์ทเวลา 9 โมงตรง ขับวนไปทางทิศตะวันตกชมวิวรอบ ๆ เกาะ เขาพาเราไปแวะที่ Curtain Bluff หาดที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง



ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของรีสอร์ทราคาแพงชื่อเดียวกัน แวะถ่ายรูป ชมชายหาดอันสวยงามซักพัก ก็ไปต่อ


เกาะแอนที้ก้ามีประชากรประมาณ 7 หมื่นกว่าคน พื้นที่สูง ๆ ต่ำ ๆ มีทั้งชายหาด หนองน้ำ ที่ราบและภูเขา แต่ก่อนเคยปลูกอ้อยเป็นเศรษฐกิจหลัก เดี๋ยวนี้ต้องพึ่งการท่องเที่ยวเพื่อหาเงินเข้าประเทศ ไม่มีใครอยากทำการเกษตรกรรมอีกแล้ว ถึงแม้จะยังมีการปลูกพืชเลี้ยงสัตว์อยู่บ้างแต่อาหารส่วนใหญ่ก็นำเข้ามาจากเกาะเพื่อนบ้านอย่างเกาะโดมินิกัน เป็นต้น




เราผ่านส่วนที่เรียกว่า Fig Tree Drive (ฟิกทรีไดร์ฟ) ซึ่งเป็นเส้นทางขับรถที่นิยมของนักท่องเที่ยว เห็นชื่อทีแรกนึกว่ามีต้นมะเดื่อเรียงราย ที่ไหนได้ คำว่า Fig เป็นภาษาพื้นเมืองแปลว่าต้นกล้วย ดังนั้นเส้นทางสายนี้ก็เต็มไปด้วยต้นกล้วย พร้อมกันต้นไม้อื่น ๆ เช่น มะม่วง มะพร้าว หรือพืชเตี้ย ๆ อย่าง สับปะรด ด้วย แต่โดยรวมแล้วถือเป็นเขตป่าไม้สำคัญของเกาะเลยทีเดียว



เกาะ Antigua มีการปลูกสับปะรดพันธุ์สีดำ (Black pineapple) เป็นเอกลักษณ์ของเกาะ สับปะรดพันธุ์นี้รูปร่างเหมือนกับสับปะรดภูเก็ตบ้านเรา แต่เมื่อเราแวะชิมดูแล้วปรากฏว่ารสชาติไม่หวานเท่า คิดว่าอาจรูปร่างเหมือนกันเท่านั้นเอง



เราแวะเข้าไปเที่ยวที่ท่าจอดเรืออุทยานแห่งชาติเนลสัน (Nelson’s Dockyard National Park) ซึ่งถือเป็นท่าจอดเรือตั้งแต่สมัยจอร์เจียน (Georgian Dockyard) ที่ยังคงใช้งานมาจนถึงทุกวันนี้



อุทยานแห่งชาตินี้ประกอบไปด้วยตัวอาคารประชาสัมพันธ์ดาวส์ฮิลล์ (Dow’s Hill Historical Centre) ที่เราชมการบรรยายเกี่ยวกับประวัติของเกาะนี้ตั้งแต่สมัยที่ยึดครองโดยประเทศอังกฤษมีการนำทาสจากอัฟริกาเข้าเป็นแรงงานในไร่อ้อย เพื่อทำเป็นรัม และเนื่องจากเกาะนี้อยู่ใกล้กับเกาะต่าง ๆ ในอาณานิคมของดัทช์ และฝรั่งเศส อังกฤษต้องสร้างฐานทัพบนเกาะนี้เพื่อปกปัองแผ่นดินและไร่อ้อยอันมีค่ามหาศาลในสมัยนั้น พอเขาเลิกผลิตรัมคนอังกฤษก็ย้ายออกจากเกาะ ตอนนี้คนที่หลงเหลืออยู่คือคนผิวดำเท่านั้นเอง



เนื่องจากที่ตั้งของศูนย์ประชาสัมพันธ์เป็นที่สูง สามารถชมวิวหน้าผาอันสวยงามได้โดยรอบ



ซึ่งจะมองเห็นอิงลิชฮาร์เบอร์ (English Harbour) และ Nelson’s Dockyard อย่างชัดเจน



จากนั้นเราก็ไปผาเชอร์ลีย์ ไฮทส์ (Shirley Heights) ซึ่งเป็นที่ตั้งเดิมของป้อมปราการแห่งหนึ่ง ปัจจุบันมีการจัดงานขายอาหาร เครื่องดื่มและการแสดงพื้นเมืองต่าง ๆ ทุกวันอาทิตย์ ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานนี้ด้วย



สุดท้ายของอุทยานก็ไปสิ้นสุดที่ Nelson’s Dockyard ซึ่งนอกจากจะเป็นสถานที่จอดเรือแล้ว ยังมีส่วนของการแสดงพิพิธภัณฑ์ ประวัติชีวิตของ Nelson ชื่อเจ้าของสถานที่ มีร้านขายของที่ระลึกต่าง ๆ และโรงแรม ร้านอาหารด้วย



จาก Nelson’s Dockyard ขับรถอีกประมาณ ครึ่งชั่วโมง เราก็แวะไปเที่ยวชมสะพานปีศาจ Devils Bridge ซึ่งเป็นผาหินที่ถูกน้ำเซาะกลายเป็นสะพานธรรมชาติ ที่เราไม่กล้าเดินข้าม เพราะกลัวถูกคลื่นเซาะพัดพาลงทะเลไปนะสิจ๊ะ



ใกล้ ๆ กับสะพานปีศาจ ก็แวะไปชมลองบีช (Long Beach) หาดสวยทรายขาวอีกแห่งหนึ่ง ที่มีรีสอร์ทราคาแพงขึ้นเรียงราย และเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว มาว่ายน้ำและดูปะการังน้ำตื้น



จุดสุดท้ายของการเที่ยวเกาะคือเบ็ทตี้ส์ โฮป (Betty’s Hope) โรงงานผลิตน้ำอ้อยเพื่อทำรัมแห่งแรกของเกาะ ที่เขาได้ปรับปรุงซ่อมแซมโรงบดอ้อยกังหันลม เพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์ไว้ให้ลูกหลานและนักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชม สมัยนี้ไม่มีโรงงานผลิตอ้อยบนเกาะแล้ว เศรษฐกิจของเกาะโดยหลักคือการท่องเที่ยวเท่านั้นเอง



สิ้นสุดทัวร์กลับมารีสอร์ทหลังสามโมงเย็น

มีต่อตอนต่อไป